วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2562

นำเสนอBest Practice

        


        นำเสนอBest Practice นวัตกรรมการเรียนรู้ Open class และ Poster ตามโครงการพัฒนาครูในโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นระยะก้าวสู่วิชาชีพ(Induction Program) "กิจกรรมสะท้อนผลครูคืนถิ่นรุ่นที่ 1" ระหว่างวันที่ 5-6 มกราคม 2562 ณ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ขอขอบพระคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายๆท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าน 
        1.ผศ.ดร.จุฬามาศ จันทร์ศรีสุคต จาก UDRU (ที่ให้โอกาสในการนำเสนองานในครั้งนี้และต้องกราบขออภัยท่านเป็นอย่างสูงสำหรับการนำเสนอของผมที่ไม่ค่อยได้เรื่องตอน PLC ที่ UDRU)
        2. อ.ดร.วชิราภรณ์ สังข์ทอง จาก LRU สำหรับความมีเมตตาและความใจเย็นในการสอนลูกศิษย์คนนี้ ท่านเป็นคนเดียวที่อยู่กับผม ทั้งตอน PLC ที่ UDRU และนำเสนอจริงที่ KKU
       3.อ.พรพิสุทธิ์ ดวงเงิน ที่ช่วยประสานงานในเรื่องต่างๆเป็นอย่างดี และขอขอบพระคุณสำหรับคำคอมเม้นต์ต่างๆ ปล.ท่านบอกว่าพาว์เวอร์เยอะไปหน่อยให้เป็นครูต่อไป(55+)
       4.อ.ดร.วานิช ประเสริฐพร, อ.ดร.วชิราภรณ์ สังข์ทอง,ผศ.ดร.มณฑา ชุ่มสุคนธ์, อ.ดร.อนุภูมิ คำยัง ที่เมตตาดูและให้คำแนะนำ ในการ Open class ตั้งแต่เวลา 14.45 -16.30 น.
ุ      5.ขอบพระคุณคณาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ผมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รศ.ดร.วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์, รองศาสตราจารย์ ดร.พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร ฯลฯ  
        รวมทั้งท่านอาจารย์หลายๆท่าน เพื่อนร่วมวิชาชีพครูทุกคนผมได้ทั้งบทเรียน ข้อคิด มิตรภาพ ความทรงจำที่ดีกับโครงการนี้มาก ขอบคุณจากใจจริงอีกครั้ง
#Thank_a_lot






































วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2562

การเพิ่มลดภาษีของรัฐบาล





การเพิ่มลดภาษีของรัฐบาล

         การดูแลระบบเศรษฐกิจของประเทศให้ขับเครื่องไปข้างหน้าเป็นหน้าที่หนึ่งของรัฐบาล โดยจะแบ่งออกเป็นหลายด้าน ซึ่งการเพิ่มลดภาษีก็เป็นวิธีหนึ่งที่รัฐบาลใช้ควบคุมเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ไม่ให้เจริญเติบโตเร็วเกินไป หรือ ถดถอยตัวมากเกินไป หากเศรษฐกิจเติบโตเร็วเกินไป จะมีผลทำให้เศรษฐกิจอยู่ในระดับการผลิตสูงสุด ทำให้ภาคเอกชนมีความต้องการจ้างงานมาก ซึ่งมีผลทำให้ประชาชนมีงานทำและมีรายได้ที่ดี จึงสามารถซื้อบ้านซื้อรถ ทำให้สินค้ามีราคาสูงมากจนเกินไป หากเศรษฐกิจถดถอยจะมีผลทำให้เศรษฐกิจอยู่ในระดับการผลิตที่ต่ำ ภาคเอกชนมีความต้องการในการจ้างเงินต่ำ และทำให้ประชาชนมีการว่างงานมากขึ้น มีกำลังในการใช้จ่ายน้อยทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าขายไม่ได้ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเข้ามามีส่วนที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะที่เหมาะสม ซึ่งการเพิ่มลดภาษี ก็เป็นวิธีหนึ่งที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลาย
                                 
 
การเพิ่มภาษีจะมีผลอย่างไร
         นโยบายการเพิ่มภาษีของรัฐบาล จะถูกนำมาใช้หลังจากรัฐบาลได้ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น การใช้จ่ายของรัฐบาล การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยเงินจำนวนมาก ทำให้มีเม็ดเงินจากภาครัฐไหล เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากทำให้ภาคเอกชน เพิ่มกำลังการผลิตสูง มีจ้างงานมากขึ้น ประชาชนมีกำลังการใช้จ่ายสูง ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งผลให้สินค้า และค่าครองชีพสูงขึ้น รัฐบาลจึงต้องใช้นโยบาย การเพิ่มภาษี เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ
         เมื่อขึ้นภาษีแล้วจะเกิดผล ทำให้กำไรของภาคเอกชนลดลง เพราะภาษีมีผลทำให้ต้นทุนต่างๆสูงขึ้น ส่งผลทำให้ภาคเอกชนลดกำลังการผลิตและจ้างงานน้อยลง ประชาชนมีกำลังการใช้จ่ายน้อยลง เพราะต้องประหยัดเงินไว้เพื่อจ่ายภาษี เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจะน้อยลงด้วย ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง และรัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษี รัฐบาลอาจจะนำรายได้ไปใช้หนี้ที่นำเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจหรือเก็บเข้าคลังก็ได้


การลดภาษีจะเกิดผลอย่างไร
         ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำหรือถดถอย ภาคเอกชนจะสามารถทำกำไรได้น้อย ภาคเอกชนจึงไม่มีแรงจูงใจที่จะลงทุนเพราะ ลงทุนไปก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเพราะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำ ทำให้ไม่มีเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำเพิ่มขึ้นไปอีก รัฐบาลจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลก็จะมีหลายวิธี เช่น การลงทุนเพิ่มของรัฐบาลเพื่อเพิ่มเงินเข้าสู่ระบบ แต่ในบทความนี้เราจะพูดถึงจะลดภาษี การลดภาษีเป็น นโยบายหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตได้
        เมื่อลดภาษีแล้ว จะทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนในการทำธุรกิจน้อยลง เพราะกำไรที่ได้จะถูกจ่ายภาษีน้อยลงทำให้ กำไรสูงขึ้น ทำให้เป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีความต้องการที่จะลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสูงขึ้น ทำให้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะถดถอยได้

หมายเหตุ
      ในบางครั้งเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานรัฐบาลจะใช้การเพิ่มลดภาษีของรัฐบาล รัฐบาลจะต้องใช้นโยบายอื่นๆร่วมด้วย

กําหนดราคาขั้นสูง (Maximum Price Control)


กําหนดราคาขั้นสูง (Maximum Price Control)

           เป็นนโยบายที่รัฐบาลนํามาใช้เมื่อเห็นว่าราคาสินค้าที่ถูกกําหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาด เป็นราคาที่สูงเกินไปจนก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะถ้าเป็นสินค้าที่จําเป็นแก่การครองชีพ ดังนั้นรัฐบาลจึงจําเป็นจะต้องหาทางช่วยแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยการกําหนดราคาขั้นสูง โดยทั่วไปราคาขั้นสูงมักต่ำกว่าราคาดุลยภาพ นโยบายดังกล่าวมักเรียกกันว่า นโยบายควบคุมราคา (Price Control Policy)

                              นโยบายการควบคุมราคา

การใช้นโยบายประกันราคาขั้นสูงของรัฐบาล ก่อให้เกิดผลตามมาคือ
(ก) จะเกิดการขายในลักษณะใครมาก่อนได้ก่อน ใครมาทีหลังไม่ได้ก่อให้เกิดการรอ
    คิวเป็นเวลานาน ก่อให้เกิดความสูญเสียทางด้านเวลา ถ้าคิดเป็นเงินแล้วอาจสูงกว่าราคาที่ซื้อขาย
(ข) อาจเกิดการลดลงในคุณภาพของสินค้า หรือการให้บริการหลังขาย
(ค) เกิดการลักลอบซื้อขายสินค้ากันอย่างลับๆ ที่เรียกกันว่า ตลาดมืด (Black Market)
     โดยราคาที่ซื้อขายจะสูงกว่าราคาควบคุม

เพื่อให้มาตรการการกําหนดราคาขั้นสูงทํางานได้รัฐบาลมักจะใช้นโยบายควบคู่กันไป คือ
(ก) นโยบายการปันส่วน (Rationing Policy) เพื่อกระจายสินค้าที่มีไม่เพียงพอให้ผู้บริโภคอย่างทั่วถึง
โดยวิธีการแจกคูปอง ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
(ข) การนําเข้า (Import) เพื่อแก้ปัญหาสินค้าที่ขาดแคลนทําให้ Supply ของสินค้าเพิ่มขึ้น
เช่นในกรณีที่รัฐบาลเคยนําเข้าปูนซีเมนต์จากจีน หรือน้ำมันพืชจากมาเลเชีย เพื่อแก้ปัญหา
การขาดแคลนสินค้าดังกล่าว

   สรุป การกำหนดราคาขั้นสูง เป็นมาตรการที่รัฐบาลควบคุมราคาเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อน จากการที่สินค้าที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตมีราคาสูงขึ้น การควบคุมราคาขั้นสูงรัฐบาลจะกำหนดราคาขายสูงสุดของสินค้านั้นไว้และห้ามผู้ใดขายสินค้าเกินกว่าราคาที่รัฐบาลกำหนด



การกำหนดราคาขั้นต่ำ(Minimum Control)


การกำหนดราคาขั้นต่ำ(Minimum Control)

       มาตรการนี้มักนิยมใช้กับสินค้าเกษตรกรรม ซึ่งระดับราคาสินค้าที่กําหนดโดย  อุปสงค์และอุปทานของสินค้ามักมีระดับต่ำเกินไป อาจเนื่องมาจากอุปทานมีมากเกินไป หรืออุปสงค์ที่ปรากฏในตลาดไม่ใช่อุปสงค์ที่แท้จริง อันเกิดจากการรวมตัวของผู้ซื้อเพื่อเพิ่มอํานาจการต่อรอง ความเดือดร้อนจึงตกอยู่กับผู้ผลิต (เกษตรกร) รัฐบาลจึงจําเป็นต้องเข้าช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น โดยการกําหนดราคาขั้นต่ำของสินค้า ตามปกติราคาขั้นต่ำมักจะกําหนดให้สูงกว่าราคาดุลยภาพ
       นโยบายประกันราคา
  เป็นการกําหนดราคาสินค้าให้สูงกว่าดุลยภาพเดิม โดยได้เข้าไปเปลี่ยนแปลงลักษณะเส้นอุปสงค์และอุปทาน เป็นการเข้าแทรกแซงราคาโดยตรง



                    นโยบายประกันราคาโดยรัฐบาลรับซื้อสินค้าส่วนที่เหลือ

โดยหลักการแล้วรัฐสามารถทำได้ 2 ทางคือ

- เพิ่มอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าโดยรัฐอาจลดภาษีสินค้าชนิดนั้นหรือเชิญชวนให้บริโภคสินค้าชนิดนั้นมากขึ้น
- ลดอุปทาน โดยการจำกัดการผลิต เช่น การผลิตสินค้าชนิดนั้นลดลงและผลิตสินค้าชนิดอื่นแทน





ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนโยบายการคลังภาครัฐ

นโยบายการคลังภาครัฐ

        นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) คือ นโยบายเกี่ยวกับการใช้จ่ายและรายได้ของรัฐ เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดแนวทาง เป้าหมาย และการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ นโยบายการคลังที่สำคัญประกอบด้วย นโยบายภาษีอากร นโยบายด้านรายจ่าย นโยบายการก่อหนี้และบริหารหนี้สาธารณะ และนโยบายในการบริหารเงินคงคลัง เป็นต้น

         นโยบายการคลังสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท เช่น เดียวกับนโยบายการเงิน ได้แก่
         นโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary fiscal policy) คือ การที่รัฐบาลใช้จ่ายมากกว่ารายได้ภาษีที่จัดเก็บได้ หรือที่เรียกว่า งบประมาณขาดดุล” (deficit budget) กรณีนี้จะใช้เมื่อเศรษฐกิจถดถอย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เปรียบเสมือนการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ
         นโยบายการคลังแบบหดตัว (contractionary fiscal policy) คือ การที่รัฐบาลจ่ายน้อยกว่ารายได้ภาษีที่จัดเก็บได้ หรือการเพิ่มภาษีเพื่อดูดเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ อาจจะเรียกว่า งบประมาณเกินดุล (surplus budget) จะใช้ก็ต่อเมื่อยามที่เกิดปัญหาเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจ 

ข้อควรรู้ 
     นโยบายการคลังไม่ไช่สิ่งเดียวกันกับนโยบายการเงิน   ซึ่งนโยบายการเงิน (
Monetary policy) ถูกกำหนดขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย หรือที่รู้จักกันในนาม แบงค์ชาติเป็นนโยบายที่ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการเงินเช่น การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate)     การกำหนดอัตราดอกเบี้ย (Interest rate)  เป็นต้น

งบประมาณแผ่นดิน
        งบประมาณแผ่นดิน หมายถึง แผนการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล ซึ่งแสดงวัตถุประสงค์ แหล่งที่มาของรายรับรายจ่ายของรัฐบาลในระยะเวลาหนึ่ง โดยปกติถือเอาระยะเวลา 1 ปี คือ เริ่มจาก 1 ตุลาคม ไปสิ้นสุดที่ 30 กันยายนของปีถัดไป สำนักงบประมาณเป็นหน่วยราชการที่รับผิดชอบจัดทำงบประมาณประจำปีโดยจะรวบรวมโครงการและรายจ่ายด้านต่าง ๆ ของหน่วยราชการทุกหน่วยงานรวมทั้งภาครัฐวิสาหกิจทั้งหมด เพื่อนำเสนอขออนุมัติจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และประกาศใช้ต่อไป









ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติ่ม
การคลังและนโยบายการคลัง